กรณีที่ Bitcoin จะพุ่งแตะ $150K: ทำไม M2 จึงสำคัญในตอนนี้ 

2025-05-23 | Bitcoin $150K , ปริมาณเงิน M2 , ราคา Bitcoin

Bitcoin เคยผ่านจุดนี้มาก่อน ทั้งผู้สงสัย การดิ่งลงของราคา และการพุ่งแรงแบบไม่คาดคิดที่ทำให้เสียงวิจารณ์เงียบหายไป แต่ครั้งนี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไปเบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้ มันเป็นบางสิ่งที่ใหญ่กว่า ไม่ใช่แค่กระแสหรือการพูดถึง Halving แต่มันคือ “ปริมาณเงินทั่วโลก” และมันอาจกำลังบอกเราว่า Bitcoin กำลังจะไปทางไหนต่อ 

สภาพคล่องทั่วโลกกำลังพุ่งสูงขึ้น และตามสถิติในอดีต เมื่อปริมาณเงินพุ่งขึ้น Bitcoin มักไม่ใช่แค่ขยับตาม แต่พุ่งแรง 

ในบทความนี้ เราจะสำรวจว่า M2 กลายเป็นชาร์ตที่สำคัญที่สุดในโลกคริปโตได้อย่างไร ทำไมในอดีต M2 ถึงเคลื่อนไหว “นำ” Bitcoin ล่วงหน้าได้ถึง 12 สัปดาห์? และทำไมช่วงเวลานี้อาจเป็นการเปิดทางให้ BTC พุ่งแตะ $150,000  

มาเจาะลึกกันว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และทำไมนักเทรดและนักลงทุนถึงควรจับตาสถานการณ์ในตอนนี้ 

M2 คือมาตรวัดปริมาณเงินที่รวมถึงเงินสด เงินฝากกระแสรายวัน และสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย พูดง่ายๆ คือ เมื่อ M2 เพิ่มขึ้น สภาพคล่องในระบบก็จะเพิ่มขึ้นตาม 

ในอดีต Bitcoin มักเคลื่อนไหวตามทิศทางของสภาพคล่องนี้ เมื่อมีเงินในระบบมากขึ้น มักหมายถึงความกล้าเสี่ยงที่สูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และความสนใจในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น BTC ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน 

จำได้ไหมว่าในปี 2563 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทำให้ M2 พุ่งขึ้น และราคาของ Bitcoin พุ่งจาก 10,000 ดอลลาร์ ไปเกือบ 70,000 ดอลลาร์ภายในไม่กี่เดือน วัฏจักรแบบนี้เคยเกิดขึ้นในอดีตเช่นกัน เช่น 

  • ปี 2560: มีการควบคุมเงินทุนจากจีนและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าซึ่งช่วยหนุนราคา BTC 
  • ปี 2563 ถึง 2564: มาตรการกระตุ้นจากโควิดผลักราคาขึ้นอย่างรุนแรง 
  • ปัจจุบัน: M2 ทั่วโลกกำลังพุ่งขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มีผู้เล่นจำนวนมากในตลาด 

Bitcoin ไม่ได้ขยับเพราะนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีหรือเหตุการณ์ลดรางวัลเสมอไป บางครั้งมันแค่เคลื่อนไหวตามเงินทุนในระบบจริง ๆ 

วัฏจักรรอบนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับสภาพคล่องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเข้าถึงของนักลงทุนด้วย 

  • กองทุน Bitcoin แบบสปอตเปิดให้ซื้อขายแล้ว 
  • สถาบันการเงินเริ่มเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไป 
  • นักวิเคราะห์ใน Wall Street เริ่มมอง BTC ว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในระดับมหภาค แทนที่จะมองว่าเป็นเพียงกระแส 

เมื่อการเพิ่มขึ้นของ M2 รวมกับเงินทุนใหม่จากระบบการเงินดั้งเดิม ก็จะกลายเป็นแรงสนับสนุนที่ทรงพลัง การที่ M2 นำหน้าราคาตลาดประมาณ 12 สัปดาห์ อาจแม่นยำมากกว่าที่เคยเป็นมา 

และอย่าลืมปัจจัยจากการลดรางวัลที่กำลังจะเกิดขึ้น ความกดดันทางฝั่งอุปทานยังคงอยู่ และเมื่อรวมกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ 

ในขณะที่การพิมพ์เงินเริ่มกลับมา และการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลขยายตัว บิทคอยน์กลับมาได้รับการมองว่าเป็นนโยบายประกันความเสี่ยงอีกครั้ง 

  • ไม่มีพรมแดน 
  • มีจำนวนจำกัด 
  • อยู่นอกระบบการเงินแบบดั้งเดิม 

การที่ M2 เพิ่มขึ้นมักเป็นสัญญาณของเงินเฟ้อในอนาคต เดิมทีทองคำเคยเป็นคำตอบ แต่บิทคอยน์นั้นคล่องตัวกว่า เร็วกว่า และเคลื่อนย้ายง่ายกว่า 

นักลงทุนไม่จำเป็นต้องขนแท่งทองคำหรือใช้พันธบัตรเพื่อป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป พวกเขาสามารถคลิกซื้อ BTC ได้เพียงไม่กี่ขั้นตอน และหลายคนก็เริ่มทำแล้ว 

ตลาดไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว แต่มักขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ 

  • ราคา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นหมุดหมายทางจิตวิทยาที่สำคัญ 
  • เมื่อ BTC ทะลุจุดสูงสุดเดิม (ประมาณ 110,000 ดอลลาร์สหรัฐ) เทรดเดอร์สายโมเมนตัมน่าจะเข้าซื้อเพิ่ม 
  • ระดับถัดไปที่ควรจับตา คือ 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

อย่าประเมินพลังของ FOMO ต่ำเกินไป โดยเฉพาะเมื่อราคาทะลุจุดสำคัญแล้วเข้าสู่ช่วงค้นหาราคาสูงสุดใหม่ 

กราฟนี้บอกเรื่องราวได้อย่างชัดเจน: M2 ขยับก่อน Bitcoin ตามหลัง การพุ่งแรงของตลาดสามครั้งล่าสุดล้วนมีการพุ่งขึ้นของ M2 ล่วงหน้า และตอนนี้ M2 ไม่ได้แค่เพิ่มขึ้น แต่พุ่งแรงอย่างมีนัยสำคัญ 

หากรูปแบบนี้เกิดซ้ำอีกครั้ง BTC ที่ระดับ $150K อาจเป็นแค่เรื่องของเวลา 

แม้ปัจจัยมหภาคอย่าง M2 จะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงพื้นฐาน แต่กราฟคือสิ่งที่บอกเราว่าตลาดพร้อมเมื่อไร และตอนนี้กราฟของ Bitcoin กำลังเริ่มจัดรูปทรงได้อย่างลงตัว 

ตอนนี้ BTC กำลังทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาล และการเคลื่อนไหวของราคาก็กำลังสะสมพลังอยู่ใต้แนวต้านนั้น หากสามารถทะลุแนวต้าน $110K ได้อย่างชัดเจน ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะเปิดทางไปสู่ $140K ถึง $150K ด้วยแรงหนุนจากโมเมนตัมการทะลุแนวต้านและเรื่องราวที่สอดคล้องกัน 

มันทรงพลังเสมอเมื่อกราฟยืนยันสิ่งที่ปัจจัยมหภาคส่งสัญญาณไว้ เมื่อราคา เรื่องราว และความรู้สึกของตลาดมารวมกันได้อย่างลงตัว ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจรุนแรงและน่าจดจำ 

แน่นอนว่ามันไม่ได้สวยงามไปเสียหมด 

  • กฎระเบียบต่างๆ อาจทำให้ตลาดตื่นตระหนกได้ 
  • กระแสเงินไหลเข้าจาก ETF อาจหยุดชะงัก 
  • แรงกระแทกทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น สงครามหรือการเปลี่ยนนโยบาย อาจทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดสั่นคลอน 

แต่อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความเสี่ยงในระยะสั้น หากสภาพคล่องยังคงเพิ่มขึ้นและ BTC ยังคงสถานะผู้นำในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการเก็บมูลค่า ภาพรวมระยะยาวยังแข็งแรง 

ถ้าคุณต้องการวางกลยุทธ์:  

  • ติดตามการประกาศข้อมูล M2 ทั่วโลก เช่น จีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป 
  • เฝ้าดูการไหลเข้าของ ETF และการเคลื่อนไหวของวาฬในตลาด 
  • ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการจับจังหวะเข้าซื้อ เช่น การทะลุแนวต้าน เส้นค่าเฉลี่ย และปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูง 
  • อย่าลืมดัชนีวัดความรู้สึกของตลาด เช่น Fear and Greed Index 

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะเทรดแบบหลับหูหลับตา แต่คือช่วงเวลาที่ควรสังเกตและเตรียมตัวให้พร้อม 

Bitcoin ไม่ได้เคลื่อนไหวในสุญญากาศ มันตอบสนองต่อโลกภายนอกโดยเฉพาะเมื่อโลกเต็มไปด้วยสภาพคล่อง 

กราฟไม่ได้การันตีว่าราคาจะไปถึง $150K แต่กำลังวาดเส้นทางไว้ และเส้นทางนั้นเคยแม่นยำมาแล้วในอดีต 

M2 กำลังส่งสัญญาณสีเขียว Bitcoin กำลังเริ่มร้อนแรงขึ้น ประวัติศาสตร์อาจกำลังจะซ้ำรอยเดิม 

คุณพร้อมหรือยังที่จะขึ้นคลื่นลูกใหม่? คลิก ที่นี่ เพื่อเริ่มต้นเลย! 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-07-03 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทองคำ vs บิตคอยน์: อะไรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2025? 

เมื่อพูดถึงการป้องกันความผันผวนของตลาด มีสินทรัพย์อยู่สองประเภทที่โดดเด่น: ทองคำและบิตคอยน์ หนึ่งในนั้นได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี ส่วนอีกตัวแม้จะอายุน้อยแต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง  และในตอนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มคลี่คลายลง และตลาดต่างจับตาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพาวเวลล์ สินทรัพย์ทั้งสองนี้ก็กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการดึงดูดเงินลงทุน  แล้วอะไรจะกลายเป็น “หลุมหลบภัยทางการเงิน” สำหรับที่เหลือของปี 2025? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน  ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญในตอนนี้  การเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการลดความตึงเครียดระดับโลก ได้ช่วยสลายความเสี่ยงระยะสั้นครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันก็เริ่มเย็นลง ขณะที่ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อก็เริ่มลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่า ความสนใจของตลาดจะหันไปจับตาธนาคารกลางสหรัฐว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด  นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทองคำและบิตคอยน์จะได้พิสูจน์ว่าใครคือผู้นำตัวจริงในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทั้งสองต่างมีแนวโน้มไปได้ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทั้งสองได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และทั้งสองยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่วิตกกังวลและต้องการปกป้องอำนาจการซื้อ  แต่ในวันนี้ ใครคือผู้ที่ยืนเหนือกว่า?  ทองคำ vs บิตคอยน์: เปรียบเทียบแบบชัดๆ ในปี 2025  ก่อนจะลงลึกว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดของทั้งสองฝั่ง มาดูภาพรวมกันก่อนว่า ทองคำและบิตคอยน์แตกต่างกันอย่างไรในปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้  ตอนนี้คุณก็เห็นภาพรวมแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าทำไมทองคำอาจยังเปล่งประกายได้อีกในปีนี้ และอะไรอาจเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์พุ่งแรงยิ่งขึ้น  ทองคำ: เป้าหมายถัดไปอาจอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์จริงหรือ?  มาเริ่มกันที่ทองคำ ล่าสุดราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 3,500 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย  อะไรคือปัจจัยหนุน? เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว […]

article-thumbnail

2025-06-27 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

การเจรจาสันติภาพจะพาดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่? 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทั่วโลกต่างเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย น้ำมันพุ่งแรง ทองคำทะยาน พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดว่าอาจเกิดสงคราม แต่ในแบบฉบับของตลาดการเงิน ทุกอย่างกลับพลิกอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล (ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ก่อน) บรรยากาศในตลาดเริ่มเปลี่ยน ความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันเริ่มย่อตัว สินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มเย็นลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาฟื้นตัว  คำถามสำคัญในตอนนี้คือ: การเจรจาสันติภาพครั้งนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่?  มาหาคำตอบกัน  จากความกลัวสงครามสู่ความหวังลดดอกเบี้ย  ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน พาดหัวข่าวสงครามคือความไม่แน่นอนขั้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อการเจรจาสันติภาพเริ่มมีแรงส่ง เส้นทางใหม่ก็กำลังเปิดขึ้น  ตอนนี้จุดโฟกัสไม่ใช่คำถามว่า “สงครามจะปะทุหรือไม่?” อีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็น “เฟดจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?”  นั่นคือกุญแจสำคัญ เพราะยิ่งเฟดลดดอกเบี้ยเร็วเท่าไหร่ ตลาดหุ้นก็ยิ่งมีโอกาสไปได้แรงเท่านั้น  ทำไมข้อตกลงสันติภาพอาจเป็นตัวจุดชนวนที่สมบูรณ์แบบให้หุ้นพุ่ง  ข้อตกลงหยุดยิงที่น่าเชื่อถือสามารถดึงแรงกดดันมหาศาลออกจากระบบได้:  พูดง่ายๆ คือ ข้อตกลงสันติภาพอาจปูทางให้เกิดการรีบาวด์ในตลาดหุ้นวงกว้าง S&P 500 กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบล่าสุด ขณะที่ Nasdaq ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดลง บรรดานักลงทุนฝั่งกระทิงอาจเข้าควบคุมเกมได้  ทรัมป์ vs พาวเวลล์: ตัวเร่งตลาดคนถัดไป?  ทรัมป์ไม่เคยปิดบังว่าเขาต้องการดอกเบี้ยต่ำ เขาเคยโจมตีพาวเวลล์ในที่สาธารณะว่าเดินเกมช้าเกินไป  ในอีกด้าน พาวเวลล์กำลังเดินบนเส้นด้าย การสิ้นสุดสงครามทำให้เขาขยับไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังค้างอยู่ […]

article-thumbnail

2025-06-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สงครามอิหร่าน-อิสราเอล: ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $100 และทองจะทะยานแตะ $4,000 หรือไม่? 

ตะวันออกกลางกลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดในตลาดโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซ้อมรบ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเป็นแหล่งน้ำมัน โรงกลั่น และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ  ผลกระทบคืออะไร? ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $100 และราคาทองคำทะยานสู่ระดับใหม่ใกล้ $4,000  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป้าหมายราคาซื้อขาย เพราะผลกระทบแผ่กระจายไปถึงค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ คาดการณ์ดอกเบี้ย และพฤติกรรมนักลงทุน  และนี่คือภาพรวมของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมสิ่งที่นักเทรดและนักลงทุนควรจับตามองต่อไป  สงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิหร่าน–อิสราเอล   สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างคือขนาดและความตรงไปตรงมา ทั้งสองชาติพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของกันและกันโดยตรง ตั้งแต่โรงกลั่นของอิหร่านไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันของอิสราเอล  เรากำลังหลุดจากโลกของสงครามตัวแทนหรือการก่อวินาศกรรมลับ นี่คือสงครามเปิดที่มีห่วงโซ่อุปทานโลกตกเป็นเป้าหมาย  และนั่นพาเรามาถึงจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบฮอร์มุซ  ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้ การหยุดชะงักใดๆ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสามหลักได้ภายในข้ามคืน และในอดีต แค่มีการขู่ปิดช่องแคบก็เพียงพอจะจุดชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแล้ว  หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องทาง หรือการขนส่งกลายเป็นความเสี่ยงเกินไป ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ระดับ $110–120 จะไม่ใช่การคาดการณ์ที่เกินจริงอีกต่อไป แต่นี่คือ “กรณีฐาน” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง  น้ำมันจะพุ่งทะลุ $100 หรือไม่?  ราคาน้ำมันเริ่มตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI และ Brent ต่างพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ว่าการหยุดชะงักของอุปทานอาจทำให้ตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วตึงตัวขึ้นไปอีก บวกกับการเก็งกำไรและต้นทุนประกันเรือบรรทุกที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นภาพชัดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะแหวกแนวต้านสำคัญได้อย่างรวดเร็ว  ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันกำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาลงหลักที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาตั้งแต่ปี 2566 […]