ภาษีทรัมป์ กระทบกับตลาดการเงินทั่วโลกอย่างไรในปี 2025?  

2025-04-17 | ภาษีชุดใหม่ , ภาษีทรัมป์ , ภาษีศุลกากรตอบโต้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้นโยบาย “ภาษีศุลกากรตอบโต้” (Reciprocal Tariff) หรือ ภาษีทรัมป์ ฉบับใหม่ ที่มุ่งเป้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายของตลาดอย่างมาก การเคลื่อนไหวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และส่งสัญญาณถึงการปรับโครงสร้างใหม่ของระบบการค้าโลก 

การประกาศดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินทั่วโลก โดยเกิดแรงตอบรับอย่างฉับพลันและรุนแรงจากทั้งนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ แล้วภาษีชุดใหม่ของทรัมป์มีรายละเอียดอย่างไร? และจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดการเงินในปี 2025 อย่างไร? มาดูในบทความนี้กัน  

เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เปิดตัวกรอบนโยบายภาษีใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการปัญหาการขาดดุลทางการค้าระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญดังต่อไปนี้: 

  • เก็บภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน เวลา 00:01 น. 
  • กำหนดอัตราภาษีเฉพาะประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงที่สุด อัตราภาษีจะอยู่ในช่วง 10% – 49% เริ่มมีผลในวันที่ 9 เมษายน ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้จะถูกจัดเก็บตามอัตราพื้นฐานที่ 10% 
  • เก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์นำเข้าทุกรุ่นจากทุกประเทศ มีผลบังคับใช้ทันที 

จากงานวิจัยของ Yale University พบว่า มาตรการใหม่นี้ส่งผลให้ อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 22.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1909 และมากกว่าค่าประมาณการณ์เดิมที่อยู่ราว 10% ถึง 2 เท่า 

นโยบายภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายหลักอยู่ 3 ข้อสำคัญ: 

  • แก้ไขปัญหาดุลการค้า: ทรัมป์ต้องการตอบโต้สิ่งที่เขาเรียกว่า “แนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม” โดยมีเป้าหมายในการนำงานด้านการผลิตกลับคืนสู่สหรัฐฯ 
  • กระตุ้นการจ้างงานในประเทศ: ด้วยการทำให้สินค้าที่ผลิตในอเมริกามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น รัฐบาลคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมและสร้างตำแหน่งงานใหม่ให้กับชาวอเมริกัน 
  • เพิ่มรายได้ให้รัฐบาลกลาง: การจัดเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนงบประมาณของประเทศ 

หลังจากมีการประกาศนโยบายภาษีใหม่ ตลาดการเงินตอบสนองอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งในแง่ของ :  

ตลาดหุ้นดิ่งแรง 

  • เมื่อวันที่ 3 เมษายน ดัชนี Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ต่างพากันร่วงหนัก โดยแตะระดับการปรับตัวลดลงรายวันที่แรงที่สุดในรอบหลายปี 
  • แรงขายยังคงต่อเนื่องในวันที่ 4 เมษายน โดยดัชนี S&P 500 ดิ่งลงถึง 5.97% ซึ่งเป็นการร่วงลงรายวันที่แรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 

ดอลลาร์อ่อนค่า 

  • ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index) ร่วงจากระดับเหนือ 104 ลงมาต่ำกว่า 102 ภายในวันเดียส่งผลให้สกุลเงินหลักอื่นๆ แข็งค่าขึ้นทันที 

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน 

  • ทองคำ พุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ $3,200 ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลง เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น 
  • น้ำมันดิบ ร่วงลงกว่า 4% จากความกังวลว่าอุปสงค์ด้านพลังงานทั่วโลกจะลดลงตามภาวะการค้าที่ย่อตัว 

สินค้าอุปโภคบริโภค 

การปรับขึ้นภาษีรอบนี้กระทบกับสินค้าผู้บริโภคหลายประเภท หลายบริษัทที่เคยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอย่างเวียดนามและไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีในรอบก่อน กลับต้องพบว่าประเทศเหล่านี้ถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มภาษีสูง” ด้วยเช่นกัน 

แบรนด์ดังอย่าง Nike และ Adidas มีราคาหุ้นร่วงลงเกือบ 10% หลังจากมีประกาศภาษีใหม่ 

อุตสาหกรรมยานยนต์ 

ผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศต้องเจอกับภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 25% แบรนด์หรูอย่าง BMW และ Mercedes-Benz ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยต้นทุนการนำเข้ารถบางรุ่นเพิ่มขึ้นถึง $20,000 ต่อคัน 

ภาษีจะมีการเจรจาลดลงหรือไม่? 

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Vincent Besson ระบุว่าแผนภาษีวันที่ 2 เมษายนถือเป็น “เพดานสูงสุด” ซึ่งบ่งชี้ว่ายังมีพื้นที่สำหรับการเจรจาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ถัดไป การพูดคุยระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้า ถือเป็นปัจจัยสำคัญ หากมีสัญญาณของการประนีประนอม อาจช่วยลดแรงกดดันในตลาดได้ 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน ทรัมป์ประกาศ ชะลอการบังคับใช้ภาษีใหม่ชั่วคราว โดยลดอัตราภาษีเหลือ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากคู่ค้าสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ และให้เวลาการเจรจา 90 วัน 

ตลอดช่วง 3 เดือนข้างหน้า การเจรจาเพื่อปรับลดอัตราภาษีจริงจะเป็นประเด็นหลัก และผลลัพธ์จากการเจรจานี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินทั่วโลก 

ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจพุ่งสูง 

Source : FRED

หลังจากมีประกาศภาษี ดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Economic Policy Uncertainty Index) พุ่งสูงขึ้นทันที เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ภาคธุรกิจมักจะชะลอการลงทุน ซึ่งนำไปสู่ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้ 

ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ตลาดได้สะท้อนคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยมากถึง 5 ครั้งในปี 2025 คิดเป็นรวม 125 จุดเบสิส บางฝ่ายคาดว่า Fed อาจเริ่มดำเนินการก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งถัดไป 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทรัมป์ประกาศชะลอการบังคับใช้ภาษีแบบเต็มรูปแบบ ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยแบบรุนแรงก็เริ่มลดลง แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงผันผวนสูง สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความเชื่อมั่นในตลาด 

การเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาว  

ทรัมป์แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “ภาษีศุลกากรคือหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจของเขา” และมีแนวโน้มว่าจะยังคงใช้อย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะยังคงส่งผลกระทบต่อตลาด อย่างต่อเนื่อง 

นักลงทุนระยะยาวจึงจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นนี้ในการจัดพอร์ตลงทุน เพราะทุกความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการประกาศภาษีใหม่ หรือความคืบหน้าทางการทูต อาจส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมได้ทันที 

ความอ่อนไหวของตลาดในระยะสั้น 

นับตั้งแต่ประกาศภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน ความผันผวนในตลาดระยะสั้นทวีความรุนแรงขึ้น ตัวอย่างเช่น วันที่ 8 เมษายน เพียงแค่มีข่าวลือว่า การบังคับใช้ภาษีอาจถูกเลื่อน ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นทันที แต่ไม่นานก็ร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจากมีการยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เหตุการณ์แบบนี้สะท้อนว่า ตลาดมีความไวสูงต่อข่าวสารเชิงนโยบาย ความผันผวนของราคาและความรู้สึกนักลงทุนจึงอาจยังคงอยู่ต่อเนื่องตลอดช่วงหลายเดือนข้างหน้า 

ไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญว่า แต่ละประเทศจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้หรือไม่ เพราะท่าทีของการเจรจาการค้าโลกจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและแนวโน้มตลาดโลกในระยะนี้ สิ่งสำคัญคือ ความคล่องตัว นักลงทุนควรจับตาการเปลี่ยนแปลงนโยบายทั่วโลกและเตรียมพร้อมปรับพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยง และ คว้าโอกาส ที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

อ่านบทความวิเคราะห์ตลาดอีกมากมายที่นี่


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-05-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ภาษีนำเข้าถล่มเสน่ห์แห่ง Met Gala: แฟชั่นหรูจะอยู่รอดหรือไม่? 

งาน Met Gala 2025 ยังคงสร้างความตื่นตาในแบบเฉพาะตัวจากแฟชั่นโอต์กูตูร์สุดอลังการ เหล่าคนดังที่เจิดจรัสและกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดียแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Chanel และ Valentino ครองพื้นที่สื่อด้วยดีไซน์อันน่าทึ่งและเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก  แต่เบื้องหลังแสงแฟลชและพรมแดงอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเผชิญวิกฤตรอบใหม่: คลื่นพายุที่รวมเอาภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต้นทุนที่สูงขึ้นและความผันผวนของการค้าโลกเข้าไว้ด้วยกัน  ใจกลางของความปั่นป่วนนี้คือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาอีกครั้ง และกำลังบีบทั้งยักษ์ใหญ่อย่าง LVMH และ Hermès ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นราคาย่อมเยาอย่าง Shein  แม้ว่าแฟชั่นระดับโอต์กูตูร์จะยังคงเปล่งประกาย แต่โครงสร้างทางการเงินของอุตสาหกรรมแฟชั่นกลับเริ่มร้าวลึกหรือว่าภาษีนำเข้ากำลังเปลี่ยนรันเวย์ให้กลายเป็นสัญญาณอันตราย?  นโยบายการค้าของทรัมป์: ภัยคุกคามต่อกำไรของวงการแฟชั่น  นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่กลับมาอีกครั้งกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระบบแฟชั่นโลก แม้ว่าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้จากสหภาพยุโรปออกไป 90 วันแต่สหรัฐฯก็ได้ประกาศเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปแล้วโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศสและอิตาลีแหล่งหลักของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Valentino  และนี่คือสิ่งที่อาจตามมา:  ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เริ่มรุกคุมเข้ม fast fashion โดยในวันที่ 2 พฤษภาคม รัฐบาลได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี (de minimis) สำหรับพัสดุจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน $800 ซึ่งหมายความว่าสินค้าที่เคยไม่เสียภาษีจะถูกเก็บทันทีส่งผลโดยตรงต่อแบรนด์อย่าง Shein ที่พึ่งพาการจัดส่งต้นทุนต่ำในปริมาณมาก  […]

article-thumbnail

2025-05-07 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

100 วันแรกของทรัมป์: ภาษีนำเข้ากระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ 

ผ่านมาเพียงเล็กน้อยกว่า 100 วันหลังทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว แต่ตลาดก็เริ่มรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว  ตั้งแต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไปจนถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและคาดการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป มาตรการเริ่มต้นของรัฐบาลทรัมป์กำลังวางรากฐานให้กับเศรษฐกิจสหรัฐในเฟสถัดไป  ในบทความนี้ เราจะถอดรหัสสัญญาณจริงจากตลาด ไม่ใช่แค่พาดหัวข่าว ตั้งแต่ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ไปจนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการว่างงาน  และนี่คือสิ่งที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรจับตาต่อจากนี้  ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ  สัญญาณชัดเจนจาก 100 วันแรกของทรัมป์คืออะไร? ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง  ลองดูกราฟนี้จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน:  หลังจากทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน ความคาดหวังเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นทันที แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 แม้จะมีการประกาศชะลอการขึ้นภาษีบางส่วนในวันที่ 9 เมษายน แต่ระดับความคาดหวังยังคงสูง แสดงให้เห็นว่าเมื่อความกังวลเงินเฟ้อเริ่มฝังรากแล้ว มันไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน  ประเด็นสำคัญ: แม้การขึ้นภาษีจะเริ่มชะลอลง แต่ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นด้านเงินเฟ้อก็เกิดขึ้นแล้ว ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างก็เริ่มเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้น  ความเชื่อมั่นของผู้นำธุรกิจกำลังลดลง  ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัว ซีอีโอก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันเช่นกัน  ลองดูดัชนีความเชื่อมั่นของซีอีโอ (CEO Confidence Index) ซึ่งสะท้อนมุมมองของผู้นำธุรกิจต่อเศรษฐกิจในอีกหนึ่งปีข้างหน้า  สังเกตได้ว่าค่าดัชนีล่าสุดร่วงลงแรงจนใกล้ระดับ 5 ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในระดับต่ำสุดของทศวรรษ ประเด็นนี้สำคัญ เพราะซีอีโอเป็นผู้กำหนดทิศทางการจ้างงาน การลงทุน และการขยายธุรกิจ ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลดลง ก็มักจะเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  ทำไมนักเทรดควรใส่ใจประเด็นนี้? เพราะความเชื่อมั่นของซีอีโอที่ลดลง มักนำไปสู่การคาดการณ์ผลประกอบการที่ระมัดระวังมากขึ้น […]

article-thumbnail

2025-04-25 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

แม้หุ้นจะร่วง ทำไม “หุ้น Palantir” ถึงพุ่งแรงในปี 2025? 

ในปี 2025 ตลาดหุ้นดูคล้ายสนามรบ หุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโตหลายตัวร่วงหนัก นักลงทุนต่างรีบเช็กคำสั่ง stop-loss กันรัวๆ แต่ท่ามกลางความปั่นป่วนนี้? “หุ้น Palantir” ไม่เพียงแค่ยืนระยะได้…แต่มันกำลังพุ่งขึ้น  ในขณะที่ตลาดโดยรวมเข้าสู่โหมดปรับฐาน หุ้นของ Palantir Technologies (PLTR) กลับกลายเป็นดาวรุ่งประจำปี ราคาพุ่ง เขียวทั้งกระดาน พาดหัวข่าวเป็นบวก และวอลล์สตรีทก็พูดถึงไม่ขาดสาย  แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Palantir โดดเด่นสวนกระแสในปีที่หลายบริษัทกลับตกต่ำ?  สัญญารัฐยังไหลเข้าไม่หยุด  หัวใจหลักของธุรกิจ Palantir คือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับหน่วยงานรัฐบาล และในปี 2025 ความสัมพันธ์นี้ไม่เพียงคงอยู่ แต่ยิ่งแน่นแฟ้นกว่าเดิม  ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านกลาโหมทั่วโลก หลายประเทศเริ่มเทงบลงทุนกับระบบวิเคราะห์ข้อมูลสนามรบ ข่าวกรองด้วย AI และระบบเฝ้าระวังขั้นสูง ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Palantir  ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีฝั่งผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายที่ลดลงและงบโฆษณาที่ถูกตัด Palantir กลับมีลูกค้าภาครัฐที่ยิ่งอัดงบเพิ่ม และมันก็สะท้อนชัดในงบการเงินของบริษัท  AI กำลังบูม และ Palantir คือยักษ์เงียบที่คนไม่พูดถึง  ใช่, NVIDIA อาจเป็นหน้าตาของกระแส AI แต่ Palantir […]